ข้อที่ 1. วิธีแก้นิสัยปากเสีย
ข้อที่ 2. วิธีแก้นิสัยดื้อเงียบ
ข้อที่ 3. วิธีแก้นิสัยคนช่างยั่ว
- - - - - - - -
"อ้าวเห้ย ไอ้คนลากดอลลี่มันหายหัวไปไหนวะ ไม่สนใจงานเลย มันอยู่ไหน ไปตามดิ๊!" เสียงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับดังขึ้นด้วยความหงุดหงิด เสียงทุ้มต่ำที่ตะโกนขึ้นสูงสวนทางกับเสียงของตัวเองนั้นไม่ค่อยจะเข้ากันสักเท่าไหร่ เพิ่มเสียงให้ดังขึ้นเพื่อหวังว่าคนถูกเรียกจะรับรู้ถึงมัน แต่ไม่ว่าจะตะโกนสักกี่ครั้งก็ไม่มีวี่แววว่าอีกคนจะปรากฏ นี่มันเลยเวลาถ่ายทำมาเกือบสิบนาทีแล้ว ทำไมคนประจำตำแหน่งนี้ถึงยังไม่มาอีกนะ
แม้จะเป็นภาพอันคุ้นตาสำหรับคนที่ทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาหลายปีหากแต่สำหรับนักศึกษาฝึกงานที่เพิ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมกลับไม่คิดอย่างนั้น คนตัวเล็กที่สวมแว่นตาเลนส์ใสได้แต่นึกตำหนิคนเจ้าอารมณ์ในใจ เลือกที่จะเงียบแทนการต่อว่าออกไปเหตุเพราะไม่อยากมีปัญหาโดยที่ยังไม่ทันจะได้เริ่มงาน
ที่ต้องเงียบ เพราะตอนพูด..
ปากมักจะพลอยหาเรื่องอยู่ตลอดเวลาเลยน่ะสิ
"คนอื่นเขาพร้อมกันหมดแล้ว เหลือแต่คนลากดอลลี่เนี่ย ให้ตาย หายไปไหนอีก ไอ้คนชำนาญนี่ทำไมต้องตามตัวยากด้วยวะ" ร่างสูงบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนจะใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบไอโฟนคู่ใจขึ้นมาหวังจะกดต่อสายไปหาอีกคน แต่ก็ต้องหยุดการกระทำนั้นลงเมื่อตัวก่อปัญหาโผล่หน้ามาให้เห็นสักที
"ไปไหนมา'พี่ลู่หาน'! เลยเวลาถ่ายมาตั้งสิบนาทีแล้วนะพี่"
"เอ้า ก็ทำไมไม่หาคนอื่นมาทำก่อนล่ะ"
"ภาพมันไม่นิ่งเหมือนที่พี่ทำน่ะสิ! รีบไปประจำที่ได้แล้ว เสียเวลามามากเกินพอแล้วนะครับ" แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ แต่รุ่นน้องคนนี้ก็หาได้เกรงกลัวไม่ คนตัวสูงถือคติส่วนตัวที่ว่าหน้าที่ยังไงก็คือหน้าที่ เวลางานก็คือเวลางาน หากใครไม่รักษาเวลาก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น
"โอ๊ย'ปาร์คชานยอล' อย่าเสียงดังได้ปะ ฉันเป็นพี่แกนะเว้ย!"
"ไม่สนครับ ตอนนี้เป็นเวลางาน พี่ก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง ถ้าพี่ยังมาสายอีกผมจะไม่ไว้หน้าจริงๆด้วย" ร่างสูงบ่นยาวเหยียดก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางรางรถเข็นที่คลับคล้ายคลับคลากับรางรถไฟขนาดเล็ก โดยส่วนบนมีกล้องสำหรับถ่ายทำวางไว้
คนถูกสั่งได้แต่มุ่ยหน้าด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามในที่สุด โดยไม่ลืมที่จะบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความคับแค้นใจ
"อย่าให้กลับบ้านใหญ่นะมึงไอ้ชานยอล ฮึ่ย!"
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในสายตาที่อยู่ภายใต้แว่นเลนส์ใสของใครบางคนด้วยความอยากรู้อยากเห็น คนตัวเล็กหยิบสมุดพกที่อยู่ภายในกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับปากกาสีดำ ก่อนจะเริ่มจดรายละเอียดยิกราวกับกลัวว่าข้อมูลทั้งหมดจะหายไป
'คนลากดอลลี่? Dolly Pusher (Luhan) ..อ่อดอลลี่ไม่ใช่ปลา แต่เป็นรถรางสำหรับถ่ายภาพ ต้องขึ้นไปนั่งบนดอลลี่แล้วเวลาถ่ายค่อยเลื่อนกล้องไปตามราง ต้องเลือกคนด้วย เพราะต้องการภาพนิ่งและดูมืออาชีพที่สุด'
ที่ต้องจด ไม่ใช่ว่าไม่เคยเรียนมา แต่ต้องการย้ำเตือนความจำของตัวเองเท่านั้น เพราะบางสิ่งบางอย่างแม้จะเรียนมาแทบตายแต่คนอย่าง'พยอนแบคฮยอน'ก็สามารถลืมได้เช่นกัน และอีกอย่าง เขาจะได้จดชื่อคนที่ทำตำแหน่งนั้นๆด้วยยังไงล่ะ
"เห้ยไอ้ตัวเล็กนั่นมัวยืนจดอะไรอยู่วะ รีบมาช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้ศิลปินดิ" คนถูกเรียกถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนขี้เหวี่ยง เจ้าตัวลนลานเก็บสมุดและปากกาลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งแจ้นเข้าไปหานักแสดงโดยที่ยังไม่ทันได้หยิบกระดาษซับหน้า
"ทำอะไรวะ ไม่เอากระดาษซับหน้าไปแล้วจะเช็ดให้ศิลปินได้ยังไง จะใช้มือเค็มๆเช็ดให้เขารึไงหึ๊เด็กใหม่" คนตัวสูงบ่นยาวพร้อมทั้งเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างกายของคนตัวเล็กโดยไม่ลืมที่จะส่งกระดาษซับหน้าไปให้อีกคน
"..." อีกคนไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่ยื่นมือออกมารับของไปก่อนจะก้มหัวขอบคุณเล็กน้อย มือเรียวค่อยๆเอื้อมไปซับที่ข้างแก้มของนักแสดงอย่างแผ่วเบา ขมวดคิ้วแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเหลือบตามองข้างกายแล้วพบว่าผู้กำกับจอมเหวี่ยงยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
ให้ของเสร็จก็ควรจะกลับไปนั่งที่ได้แล้วนี่นา..
"เด็กใหม่ไม่คิดจะแนะนำตัวหน่อยหรือไง อย่าคิดว่าคุณพ่อฝากมาแล้วจะทำอะไรตามใจก็ได้นะ"
เรื่องนี้นี่เอง..
"ผมแนะนำตัวไปแล้ว ตอนนั้นคุณผู้กำกับขี้เก๊กกำลังหลับได้ที่เลยนี่ครับ" คนตัวเล็กตอบกลับเสียงนิ่ง ชานยอลหน้าเสียเล็กน้อยที่ถูกอีกคนตอกกลับมาอย่างนั้น ซึ่งเขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอกเพราะที่ว่าหลับน่ะมันคือเรื่องจริง เพียงแต่แปลกใจเล็กน้อยที่มีคนอายุน้อยกว่ากล้าพูดกวนโมโหเขาแบบนี้ทั้งที่เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก แล้วก็ไอ้คำว่า 'ขี้เก๊ก' นี่อีก แม้น้ำเสียงจะดูนอบน้อมแต่คำพูดของคนตรงหน้ามันก็ทำให้เขาคิ้วกระตุกได้เหมือนกัน
เพราะพ่อใหญ่สินะ
"ไม่เคยมีใครสอนนายหรอว่าควรจะมีมารยาทกับคนที่อายุมากกว่า"
"ก็ตอนผมแนะนำตัวคุณไม่คิดจะสนใจผมเองนี่" พูดไปก็ซับหน้านักแสดงไป
"พยอนแบคฮยอน!"
"คุณก็รู้ชื่อผมแล้วนี่นา แล้วจะถามผมทำไม" แบคฮยอนชะงักมือเล็กน้อยพร้อมกับหันมามองหน้าคนตัวสูงกว่า ก่อนจะละมือออกจากใบหน้าของนักแสดงเมื่อซับหน้าให้จนสะอาดแล้ว
"นายนี่มัน.."
"คุณผู้กำกับเอาแต่อารมณ์เสีย ไม่เบื่อบ้างหรอครับ ดูสิ หน้าย่นไปหมดแล้ว"
"แบคฮยอน!"
"นั่นไง เอาอีกแล้ว ระวังหน้าแก่ก่อนวัยอันควรนะครับ" แบคฮยอนพูดในระดับเสียงเดิมพร้อมกับส่งยิ้มบางๆอย่างที่ชอบทำไปให้อีกคนก่อนจะก้มหัวขอตัวเดินไปอีกทางที่ตอนนี้กำลังต้องการคนช่วยย้ายของเข้าไปในห้องแต่งตัวชั่วคราว โดยที่คนตัวสูงได้แต่มองตามหลังอีกคนไปด้วยความไม่สบอารมณ์
"ไอ้ตัวเล็กนั่นมัน.. ฮึ่ย!"
หลังจากที่ถ่ายทำกันจนกระทั่งตะวันลับฟ้าไปแล้ว บรรดาทีมงานต่างก็เร่งรีบช่วยกันจัดดินเนอร์มื้อเย็น โดยแบ่งเป็นส่วนๆ หน้าที่จัดโต๊ะ หน้าที่เก็บอุปกรณ์และเคลียร์พื้นที่ ส่วนหน้าที่ทำอาหารแน่นอนว่าต้องมอบให้กับคนละเอียดอ่อนอย่างผู้ดำเนินความต่อเนื่อง หรือที่เรียกกันว่า 'โดคยองซู'
มื้อเย็นวันนี้คยองซูเลือกที่จะทำอาหารที่ตนถนัดที่สุดอย่างสปาเก็ตตีซอสหมู ด้วยความที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ทำให้ผู้บริโภคไม่ออกปากบ่นเท่าไหร่นักที่อาหารมีเพียงประเภทเดียว ต่างคนต่างก็มุ่งความสนใจไปที่อาหารตรงหน้าโดยไม่แม้แต่จะสนทนากัน
จนกระทั่งอาหารเริ่มลดน้อยลงนั่นแหละจึงได้เริ่มพูดคุยกัน จากที่เงียบก็เริ่มมีบรรยากาศปาร์ตี้ขึ้นมาเรื่อยๆ จากความสนใจที่มีแค่อาหารในจานเพียงอย่างเดียว กับกลายเป็นการมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นร้อนที่เริ่มยกขึ้นมาถกเถียงกันด้วยความสนุกสนาน แบคฮยอนทำเพียงหัวเราะไปกับบรรดาทีมงาน
"ทำไมแบคฮยอนไม่ค่อยพูดเลยอะ" คยองซูที่ตอนนี้ละออกมาจากวงสนทนาถามคนข้างกายด้วยความสงสัยพลางส่งยิ้มหวานให้อีกคนแบบที่ชอบทำ
"ผมไม่อยากมีปัญหาน่ะ ฮ่าๆๆ"
"หืม?" คำตอบของแบคฮยอนทำให้อีกคนแปลกใจเล็กน้อย คยองซูเลิกคิ้วมองคนข้างๆด้วยความงุนงง เมื่อเห็นดังนั้สแบคฮยอนจึงอธิบายขยายความให้ฟัง
"คือเวลาพูดทีไรปากผมมักจะหาเรื่องโดยไม่รู้ตัวน่ะครับ" คำอธิบายของแบคฮยอนส่งผลให้อีกคนคลายความสงสัยได้ในทันที คนขี้สงสัยหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะโยกหัวอีกคนไปมา
"พูดมาเถอะ พี่เข้าใจ ไม่ถือโทษโกรธอะไรหรอก"
"แน่นะพี่"
"แน่สิ"
"โอเคครับ"
"..."
"สปาเกตตี้พี่อร่อยมากเลยนะเนี้ย" แบคฮยอนก้มลงกินอาหารในจานเป็นคำสุดท้ายก่อนจะเอ่ยชมออกมา เรียกรอยยิ้มให้อีกคนได้ไม่ยากนัก
"ฮ่าๆๆ ของมันแน่อยู่แล้วล่ะ"
"ถึงแม้จะมีบางส่วนที่ห่วยไปหน่อยก็เถอะ"
"อะไรนะ!?" สรุปยังไงกันแน่นะเด็กคนนี้ เมื่อกี้ยังบอกว่าอร่อยอยู่เลยนี่นา คยองซูนึกบ่นในใจ
"เอ่อ.. ผมหมายถึงซอสของพี่มันเยอะเกินไปน่ะ" เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่ไม่ดีออกไป แบคฮยอนก็รีบขยายความให้อีกคนฟังพลางก้มหัวขอโทษทันที
"พี่ว่าเราต้องดัดนิสัยใหม่ซะแล้วล่ะ"
"ยังไงหรอครับ"
"ระหว่างฝึกงานนี้คุณพ่อให้พักที่ไหน บ้านตัวเองหรือเปล่า" คำถามของคยองซูทำให้แบคฮยอนที่กำลังจะหยิบแก้วน้ำชะงักมือทันที
จริงสิ เขาเป็นคนขอคุณพ่อเองว่าการฝึกงานในครั้งนี้จะขอแยกออกมาอยู่ข้างนอก และฝึกใช้ชีวิตด้วยตนเอง โดยเริ่มจากศูนย์และค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจุดที่คิดว่าเหมาะสมกับตนเอง
แต่ว่านะ..
เขาลืมเรื่องที่อยู่ไปซะสนิทเลยน่ะสิ!
"เอ่อ.."
"ยังไม่มีใช่ไหม"
"ก็.. ประมาณนั้นครับ" แบคฮยอนพยักหน้ารับอย่างช้าๆ คยองซูมองอีกคนก่อนจะยกยิ้มออกมา
"ดีเลย พี่จะได้ส่งเราไปดัดนิสัย"
"ที่ไหนครับ"
"ที่คอนโด"
"คอนโดพี่หรอ" คยองซูส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเหลือบสายตาไปยังหัวโต๊ะ แบคฮยอนมองตามอีกคนไปก่อนจะพบคนที่เคยปั้นหน้าเครียดมาตลอดการทำงานกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเหล่าทีมงาน
"..." คนตัวเล็กขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อยว่าคนข้างกายเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่ไม่นานกนักจากที่เคยสงสัยใบหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปเป็นความตกใจเมื่อได้รับคำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำของอีกคน
"ผู้กำกับปาร์ค"
หลังจากจัดการทำความสะอาดโต๊ะอาหารเคลื่อนที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็เคลื่อนย้ายกันกลับบ้าน วันนี้ยังไม่มีอะไรมากนักเพราะฉากที่ถ่ายทำยังอยู่ภายในโซล ทีมงานแต่ละคนจึงสามารถเดินทางกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตนเองได้
จะเหลือก็แต่เด็กใหม่อย่างพยอนแบคฮยอนนี่แหละ..
"ผู้กำกับ!" เสียงร้องทักของคยองซูดังขึ้น ส่งผลให้เจ้าของร่างสูงที่กำลังจะเตรียมขึ้นรถต้องชะงักเท้าทันที
"มีอะไร"
"ฝากเด็กนี่ไปอยู่ด้วยทีสิ" พูดเปล่าไม่พอ สองมือของเจ้าตัวยังดันหลังเด็กใหม่ให้ขยับเข้าไปเผชิญหน้ากับผู้กำกับจอมขี้เหวี่ยงอีกด้วย
"อะไรนะ" ชานยอลขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าเมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้ฟังอะไรผิดไป
"ฝากแบคฮยอนไปอยู่ด้วยหน่อย ไม่นานหรอก แค่ตลอดการฝึกงานเอง"
"ทำไมต้องฉันล่ะ"
"ดัดนิสัยเด็กมัน"
"เห้ยจะบ้าหรือไง" ใช่ จะบ้าหรือไง เขาไม่ใช่คนชอบรับเลี้ยงเด็กสักหน่อย
"ไม่บ้าหรอก ก็ผู้กำกับเข้มงวดดีนี่ ก็เลยคิดว่าน่าจะดัดนิสัยเด็กปากไม่ดีคนนี้ได้" คนถูดพาดพิงได้แต่มองคนทั้งสองสลับกันไปมา แม้จะถูกต่อว่าอยู่กลายๆแต่แบคฮยอนก็ไม่โกรธหรอก เคยได้ยินประโยคนี้มาจนชินซะแล้วล่ะ
"ทำไมนายไม่ดัดนิสัยเด็กคนนี้เองล่ะ เกี่ยวอะไรกับฉัน" ที่ต้องปฏิเสธไม่ใช่อะไรหรอก แม้ว่าที่ทำงานจะเข้มงวดมากก็จริง แต่ก็ใช่ว่าเวลาอยู่ที่คอนโดเขาจะต้องเป็นอย่างนี้เสมอไปหรอกนะ ตัวจริงของปาร์คชานยอลน่ะเป็นยังไงใครจะรู้นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทอย่าง'คิมจงแด'
"เถอะน่า นะครับผู้กำกับ ผมแค่ไม่อยากให้แบคฮยอนต้องโดนทำร้ายร่างกายในอนาคต"
"หมายความว่ายังไง"
"ก็ตามที่พูดนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่พวกเรา ป่านนี้แบคฮยอนคงโดนซ้อมไปแล้ว"
"..." ดูเหมือนว่าคำอธิบายของคยองซูจะยังคงไม่สามารถคลายความสงสัยให้ผู้กำกับคิ้วขมวดมากเท่าไหร่นัก เมื่อเจ้าตัวเห็นดังนั้นจึงเริ่มพูดใหม่อีกที
"แบคฮยอนเป็นคนปากไม่ดี เวลาพูดมักจะพูดออกมาโดยไม่คิดและไม่รู้ตัว และถ้าเกิดเด็กคนนี้ยังคงติดนิสัยนี้อยู่ล่ะก็แย่แน่ ถ้าเจ้าตัวบังเอิญไปพูดอะไรกับไอ้พวกแก๊งอันธพาล มีหวังได้โดนทำร้ายกลับมาแน่ๆ ผมก็เลยคิดว่าอยากจะหาใครสักคนที่พอจะสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยให้เด็กคนนี้ได้น่ะครับ"
"แล้วทำไมต้องเป็นฉันล่ะ กลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองไม่ได้หรอ"
"ผู้กำกับก็รู้นี่นาว่าคุณพ่อของน้องไม่ค่อยว่าง อีกอย่างงานนี้แบคฮยอนก็ขอแยกออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง.."
"ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง? แต่ที่พงที่พักนี่ไม่คิดจะหาเลยหรือไง"
"ถ้าคุณไม่เต็มใจให้ผมอยู่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมจะระลึกไว้ว่าผู้กำกับปาร์คเป็นคนไร้หัวใจ" ในขณะที่คยองซูกำลังจะโน้มน้าวชานยอล คนตัวเล็กก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน ส่งผลให้คนทั้งสองหันขวับทันที
คนหนึ่งมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
คนหนึ่งมองด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ
"แบคฮยอน.." คยองซูหันไปพูดกับคนที่เด็กกว่าเสียงอ่อนพลางใช้มือข้างหนึ่งแตะลงไปที่ไหล่อีกคนเบาๆเพื่อปรามเล็กน้อย
"ตามใจ ถ้าอยากจะให้ฉันเป็นคนดัดนิสัยเด็กมารยาทแย่นักก็ตามมา แล้วอย่าร้องไห้งอแงวิ่งแจ้นไปฟ้องคุณพ่อก็แล้วกัน!" ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ปาร์คชานยอลก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าคนอย่างเขาจะไปดัดนิสัยใครเขาได้ ที่รับปากไปนั้นเป็นเพราะความปากไวของเขาแท้ๆเลย
คนปกติมักจะทะเลาะกันด้วยเสียงที่ดังเพื่อโต้เถียงกันในเรื่องนั้นๆ แต่สำหรับผู้กำกับปาร์คและเด็กฝึกงานอย่างพยอนแบคฮยอนแล้วมันกลับแตกต่างออกไป เมื่อทั้งคู่เลือกที่จะเถียงกันหน้านิ่งเสียแทน
ราวกับเป็นสงครามประสาทที่ใครเป็นฝ่ายตบะแตกก่อนก็แพ้ไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายพ่ายก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้กำกับปาร์คที่แสนจะใจร้อน โชคดีนักที่รถเคลื่อนตัวเข้ามาจนถึงที่พักก่อนที่จะมีใครเป็นอะไรไป หลังจากที่พาคนตัวเล็กเดินเข้าไปในคอนโด คนตัวสูงก็จัดการโยนผ้าผืนใหญ่สองผืนให้อีกคนอย่างลวกๆก่อนจะเอ่ยวาจาออกมา
"ปูพื้น แล้วก็อาบน้ำนอนซะ จะเลือกผืนไหนปู ผืนไหนห่มก็ตามสบาย" พูดจบเจ้าตัวก็เร่งฝีเท้าเข้าไปในห้องน้ำทันทีโดยไม่สนใจสายตาที่มากด้วยคำถามของอีกคนที่ส่งตามหลังไปเลยแม้แต่น้อย
"ไอ้ผู้กำกับใจร้าย" แบคฮยอนบ่นออกมาเสียงเบาก่อนจะเริ่มกางผ้าปูที่นอนผืนใหญ่ลงบนพื้นข้างๆเตียงที่ตั้งอยู่
เตียงก็กว้าง ดันให้เขานอนพื้นซะได้
งกเป็นบ้าเลย
เมื่อจัดการที่นอนของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิ้วทั้งสองของแบคฮยอนก็ต้องผูกเป็นปมอีกครั้งเมื่อมองไปบนที่นอนของตนเองแล้วเหมือนยังขาดอะไรไปบางอย่าง
"ผ้าปูที่นอน.."
"ผ้าห่ม.."
".. จริงสิ! ไม่มีหมอนนี่นา" เมื่อคิดได้ดังนั้น แบคฮยอนก็สอดส่องสายตาไปทั่วห้องทันที มองไปที่เตียงนอนหลังใหญ่ก่อนจะพบเพียงหมอนใบหนึ่ง
ถ้าหยิบมานอนจะเป็นอะไรไหมนะ
การกระทำไวยิ่งกว่าความคิด คนตัวเล็กค่อยๆคลานขึ้นไปบนเตียง เอื้อมแขนเล็กน้อยเพื่อคว้าเอาหมอนใบนั้น หากแต่ยังไม่ทันจะได้หยิบจับ ประตูห้องน้ำจากด้านหลังก็เปิดออกมาซะก่อน ตามมาด้วยเสียงทุ้มต่ำอันคุ้นหู
"ทำอะไรน่ะ" แบคฮยอนหันกลับไปมองอีกคนก่อนจะต้องหน้าร้อนผ่าวเมื่อพบว่าอีกคนอยู่ในสภาพวาบหวิว นุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวเท่านั้น หยดน้ำเกาะอยู่ตามผิวกายสีขาวน่าสัมผัส อกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยราวกับคนที่เพิ่งจะเหน็ดเหนื่อยมากับการทำอะไรมาสักอย่าง
"ผู้กำกับเป็นอะไร ทำไมหอบ" แบคฮยอนไม่ตอบแต่กลับพ่นคำถามใส่อีกคนแทน ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆคลานลงจากเตียงอย่างเนียนๆ
"อยากรู้หรือไง" คราวนี้คนตัวสูงไม่ได้มีทีท่าโมโหแต่อย่างใด เขาถามขึ้นพลางกระตุกยิ้มในแบบที่ใครก็ไม่เคยเห็น
"ไม่อยาก คุณคงจะทำอะไรแย่ๆอยู่น่ะสิ"
"พูดแบบนี้นี่รู้หรือไงว่าฉันทำอะไรมา" พูดเสียงเบา พลางค่อยๆก้าวขาเข้าหาคนตัวเล็กอย่างช้าๆ คนที่นั่งอยู่บนพื้นได้แต่เงยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างหวาดๆแต่ก็ไม่คิดจะหลบหนีแต่อย่างใด
"ผมไม่ใช่พระเจ้านะที่จะรู้ไปซะทุกเรื่อง"
"อยากรู้ไหมว่าไอ้นิสัยปากไม่ดีแบบนี้ข้อแรกมันต้องแก้ยังไง" ชานยอลนั่งยองๆตรงหน้าคนตัวเล็กก่อนจะเลิกคิ้วถามอีกคน
"ถ้าผมรู้แล้วผมจะมาพูดจาแบบนี้ใส่คุณหรือไง"
"..."
"..."
"หึ เด็กหนอเด็ก.." สิ้นเสียงของชานยอล ร่างสูงก็คว้าหมับเข้าที่ต้นคอของคนตัวเล็ก ก่อนจะรั้งใบหน้าให้ขยับเข้ามาใกล้ๆแล้วจึงประกบริมฝีปากลงไปอย่างหนักหน่วง แบคฮยอนเบิกตาขึ้นกว้างด้วยความตกใจ ร่างทั้งร่างนิ่งสนิท ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตอบรับสัมผัสอีกคนไปอย่างไม่รู้ตัว
ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของคนตัวเล็กอย่างนึกสนุกที่กำลังจะได้ลิ้มลองรสชาติที่แปลกใหม่ เกี่ยวกระหวัดพันกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ไวเท่าความคิด ร่างของคนทั้งสองต่างก็ล้มลงไปบนพื้นที่ถูกฉาบไปด้วยผ้าปูผืนใหญ่ที่แบคฮยอนเพิ่งจะปูไปได้ไม่นาน
ผู้กำกับหนุ่มสั่งสอนเด็กปากไม่ดีโดยการขบเม้มไปที่ริมฝีปากล่างของคนใต้อาณัติเบาๆก่อนจะเริ่มลงน้ำหนักมากขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจนริมฝีปากล่างของอีกคนเริ่มบวมเจ่อจนเห็นได้ชัด
แบคฮยอนส่งเสียงอู้อี้ออกมาด้วยความเจ็บแสบ อีกทั้งคนตัวเล็กก็เริ่มจะขาดอากาศหายใจแล้วด้วย เมื่อคนตัวสูงเห็นเช่นนั้นจึงกดริมฝีปากลงไปหนักๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
"จำและอย่าลืมจดไว้ในสมุดนั่นด้วยก็แล้วกันว่า..ต่อไป ถ้าพูดจาไม่ดีอีก นายจะต้องโดนแบบนี้" คนเป็นผู้กำกับเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่สมุดเล่มหนึ่งที่ล่วงออกมาจากกระเป๋าเป้ที่ไม่ได้รูดซิปของแบคฮยอน คนตัวเล็กมองตามนิ้วเรียวของอีกคนสลับกับใบหน้าคมคายก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงอย่างช้าๆราวกับคนสติไม่อยู่กับตัวโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"เขียนไว้ด้วยก็ได้นะว่า By Park Chanyeol"
"..." พยักหน้ารับรู้อีกครั้ง
"อืม หมอนอยู่ในตู้นั้น ถ้าจะนอนก็ไปหยิบมา" ชานยอลชี้นิ้วไปยังตู้ที่ตั้งอยู่ข้างๆตู้เสื้อผ้าก่อนจะลุกขึ้นยืน การเคลื่อนไหวของอีกคนทำให้แบคฮยอนที่นิ่งอยู่สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
"ตู้ ? มันไม่สกปรกหรือไง จะให้ผมใช้หมอนจากตู้นั่นหรอครับ"
"ถ้าเรื่ิองมากเราจะโดนอะไรอีก อยากรู้ไหม" เมื่อได้ยินคำพูดของอีกคนแบคฮยอนก็รีบปิดปากเงียบทันที ก่อนจะยอมเดินไปหยิบหมอนออกมาจากตู้ดังกล่าว ส่งผลให้คนตัวสูงหลุดหัวเราะกับท่าทางของอีกคนเล็กน้อย
แกล้งเด็กนี่ก็สนุกไปอีกแบบแฮะ
หลังจากที่แบคฮยอนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าผู้กำกับจอมขี้แกล้งกำลังนอนหลับอยู่ หน้าตาก็ดูน่าคบหาดีอยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดนิสัยขี้โมโหและขี้แกล้งด้วยน่ะนะ แต่จะไปว่าใครเขาก็คงไม่ได้หรอก ในเมื่อตัวเขาเองก็มีนิสัยที่แก้ไม่หายอยู่เหมือนกัน และนั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้กำกับปาร์คไม่ค่อยจะชอบเขาล่ะมั้งนะ
แบคฮยอนเดินไปยังที่นอนของตนเอง ก่อนจะล้มตัวนอนคว่ำแล้วเอื้อมแขนไปหยิบสมุดบันทึกประจำตัวมาเปิด ดึงปากกาที่เหน็บไว้กับสมุดก่อนจะเริ่มจดบันทึกลงไป
'ถ้าพูดจาไม่ดี.. :x' คนตัวเล็กเขียนไว้แค่นั้นก่อนจะต่อด้วยรูปวาดริมฝีปากเล็กๆต่อท้ายประโยค
นี่สมุดจดความรู้เกี่ยวกับการทำงานเบื้องหลังต้องกลายมาเป็นสมุดจดบันทึกวิธีแก้นิสัยเสียของเขางั้นหรอเนี้ย ?
'ปล.ผู้กำกับปาร์คนอกจากจะขี้เก๊กแล้วยังใจร้ายอีกต่างหาก'
แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาเป็นสัญญาณเตือนคนที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทราให้รับรู้ได้ว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
แบคฮยอนค่อยๆบิดขี้เกียจอย่างช้าๆ ขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อช่วยเร่งการปรับสภาพของตาให้เข้ากับแสงให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆใช้แขนข้างหนึ่งยันกายให้ลุกขึ้น เมื่อหันไปมองคนบนเตียงก็พบว่าร่างสูงยังคงนอนหลับอยู่เช่นเดิม คนตัวเล็กค่อยๆย่องเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ แต่ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อพบว่าบัดนี้ใบหน้าที่เคยขาวใสกลับแทนที่ด้วยผดผื่นเล็กๆเต็มใบหน้า
"อะไรเนี้ย" คนตัวเล็กบ่นไปพลางลูบตามตุ่มแดงๆบนใบหน้าไป รู้สึกคันยิบๆแต่ก็เลือกที่จะรั้งมือเอาไว้ไม่ให้เกา เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้อาการหนักยิ่งกว่าเดิมก็ได้
ในขณะเดียวกัน คนตัวสูงเมื่อเริ่มรู้สึกตัว พอหันไปมองดูที่นอนข้างเตียงไม่พบคนตัวเล็ก เจ้าตัวก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นทันที เหลือบมองไปทางห้องน้ำก็พบว่าประตูถูกเปิดแง้มเอาไว้ ชานยอลลุกออกจากเตียงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเงียบเชียบโดยที่อีกคนไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังลูบๆคลำๆใบหน้าของตนเองอยู่ที่หน้ากระจก ร่างสูงก็อดที่จะขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้
"เป็นอะไร" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยส่งผลให้แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ แต่อีกคนกลับไปเชื่ออย่างนั้น สองขาก้าวเดินไปใกล้ๆคนตัวเล็กก่อนจะจับอีกคนให้หันมาเผชิญหน้าเมื่อเห็นว่าใบหน้าของแบคฮยอนในตอนนี้เต็มไปด้วยผดผื่น คนตัวสูงก็ขมวดคิ้วหนักขึ้นทันที
"ผื่นขึ้นเต็มเลย แพ้อะไรล่ะ" ชานยอลถามขึ้นด้วยความสงสัยพร้อมทั้งเอื้อมมือไปแตะที่ข้างแก้มของอีกคนอย่างแผ่วเบา
"หมอนของคุณนั่นแหละ สกปรก" เมื่อได้ยินคำตอบออกจากปากอีกคนก็ทำให้ผู้กำกับหน้าโหดถึงกับรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป นอกจากเปิดน้ำจากในอ่างแล้วค่อยๆบรรจงล้างหน้าให้อีกคนเบาๆ
แบคฮยอนมองคนที่กำลังใช้น้ำสะอาดลูบข้างแก้มของตัวเองด้วยความรู้สึกประหลาดก่อนจะตัดสินใจปัดมืออีกคนออกแล้วเริ่มล้างหน้าด้วยตนเอง
แม้จะเห็นว่าแบคฮยอนแสดงกริยามารยาทที่ไม่สมควร แต่กระนั้นชานยอลก็ไม่ได้คิดที่จะต่อว่าอะไรเพราะเขารู้ว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้คนตัวเล็กต้องเป็นแบบนี้
หลังจากที่คนตัวเล็กล้างหน้าจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว ผู้กำกับจอมขี้เก๊กก็จูงมืออีกคนให้เดินตามไปยังตู้เก็บของที่ภายในประกอบไปด้วยอุปกรณ์ทำแผลนานาชนิด
"นั่งลงสิ ยืนมองอะไร" เมื่อเห็นว่าตั้งแต่เดินมาคนตัวเล็กก็เอาแต่จ้องเขาไม่วางตา ชานยอลจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา ปกติก็ไม่ใช่คนชอบโหดนะเวลาอยู่ที่คอนโด แต่ไม่รู้ทำไม เห็นหน้าซื่อๆของอีกคนแล้วก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาซะงั้น มันอดไม่ได้จริงๆแฮะ
"..." แบคฮยอนไม่ได้พูดอะไรออกไปแต่ก็ไม่ได้ขัดคำสั่งของอีกคน คนตัวเล็กกระแทกก้นลงบนเก้าอี้สีขาวสะอาดโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากอีกคนเลยแม้แต่น้อย
"มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง" และแล้วปาร์คชานยอลก็หลุดนิสัยเดิมออกมาจนได้
นิสัยหลงตัวเองน่ะสิ..
และคำพูดของอีกคนก็ทำให้แบคฮยอนหลุดขำออกมาเล็กน้อย คำพูดกับลุคที่แสดงออกมาไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด ตีหน้าเครียดแต่กลับพูดจาติดตลกเนี้ยนะ เชื่อเขาเลย
"อะแฮ่ม! ขำอะไร" เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป ชานยอลก็แกล้งทำเป็นกระแอมไอก่อนจะปั้นหน้าโหดเหมือนเดิม
"ฮ่ะๆ เปล่าครับ"
"ให้มันจริง" พูดเปล่าไม่พอ คนตัวสูงก็เอื้อมมือมาผลักหัวอีกคนเบาๆก่อนจะเปิดตู้แล้วหยิบกล่องที่ใช้สำหรับใส่ยาทาออกมา
"จะทำอะไรครับ"
"ทายาแก้ผดผื่นยังไงล่ะ ถามได้" สิ้นเสียง ผู้กำกับขี้เก๊กก็เริ่มแกะกล่องยาพร้อมทั้งเชยคางอีกคนขึ้นให้อยู่ในระดับสายตา ก่อนจะเริ่มบรรจงเกลี่ยนิ้วที่แต้มด้วยยาไปตามใบหน้าของอีกคนอย่างแผ่วเบา
แบคฮยอนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตั้งใจของอีกคนด้วยความเพลิดเพลิน คิ้วดำขลับขมวดเข้าหากันจนเห็นได้ชัดถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของอีกคน จมูกโด่งรับกับใบหน้าคมคาย ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันในยามที่นิ้วแตะลงบนตำแหน่งที่มีตุ่มเม็ดเล็กสีแดง ผู้กำกับปาร์ค.. มองหน้าใกล้ๆแบบนี้ทำไมถึงทำให้หน้าอกข้างซ้ายเต้นแรงจังนะ
นิ้วเรียวเกลี่ยไปตามข้างแก้มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆละมือออกไป แบคฮยอนมองใบหน้าของอีกคนที่ตอนนี้คิ้วทั้งสองเริ่มคลายปมออกจากกันเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กเผลอยกยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณ
"ขอบคุณครับ"
"เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม"
"หืม?"
"เอ่อ ช่างมันเถอะ ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ" เมื่อรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ชานยอลก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แต่เมื่อกี้.. ไม่รู้ทำไม พอได้เห็นรอยยิ้มหวานจากอีกคนในระยะประชิดแล้วก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ
หลังจากปฏิบัติภารกิจยามเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งผู้กำกับขี้เก๊กและเด็กใหม่ปากเสียก็เดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำทันที วันนี้พวกเขาจะยกกองถ่ายไปที่เกาะเชจู แน่นอนว่าต้องมีการค้างคืน โดยคนที่คอยจัดการเรื่องห้องและโรงแรมนั้นก็คือโดคยองซูเจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่นเอง
"เห้ย ไอ้'คาเมร่าแมน'อ่ะ รีบแบกกล้องมาดิวะ" เสียงโวยวายอันคุ้นหูดังขึ้นทันทีที่มาถึงสถานที่ถ่ายทำ คนถูกเร่งก็ได้แต่หันมาทำหน้าคิ้วขมวดใส่ก่อนจะโวยวายกลับไป
"มึงนี่ยังไงฮึ ใช่หน้าที่กูปะที่ต้องขนลงจากรถอ่ะ"
"เห้ยๆ พูดกับผู้กำกับให้มันดีๆหน่อยครับคุณคิมจงแด"
"เออครับ ไอ้คุณผู้กำกับสุดประเสริฐ ไอ้เพื่อนเลิิ้บบบ" ประโยคหลังคนถูกต่อว่าอดไม่ได้ที่จะประชด แต่พวกเขาก็เพียงแค่หยอกล้อกันตามประสาเพื่อนเท่านั้นแหละ ไม่มีใครคิดอะไรมากหรอก
"เออไอ้จงแด แล้ว'โฟกัสพูลเลอร์' กับ 'แคลปเปอร์' ไปไหนล่ะ ไม่ได้นั่งรถมาด้วยกันหรอ" เมื่อมองหาผู้ช่วยผู้ถ่ายภาพทั้งสองไม่เจอ คุณผู้กำกับจึงเอ่ยถามเพื่อนสนิทขึ้น
"เออไม่ได้มาด้วยกัน เมื่อกี้โทรคุยกันแล้ว พี่มินซอกกับอาเทามาถึงก่อนก็เลยแวะไปซื้อขนมอยู่น่ะ" ผู้กำกับปาร์คพยักหน้าเข้าใจโดยไม่ลืมที่จะกำชับให้อีกคนเร่งให้ทั้งสองคนรีบกลับมายังสถานที่ถ่ายทำ
แบคฮยอนที่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็รีบก้มลงหยิบสมุดประจำตัวขึ้นมาก่อนจะเริ่มจดบันทึกทันที
'Camera Man (Jongdae) คือผู้ถ่ายภาพ (อันนี้ง่าย เราจำได้อยู่แล้ว)'
'Focuspuller (Minseok) ผู้ช่วยผู้ถ่ายภาพ(จำได้)'
'Claper (Tao) คนนี้ก็ผู้ช่วยเหมือนกัน แต่เป็นคนคอยช่วยวัดระยะภาพและบันทึก*สเลท (จำได้)'
- - - - -
*Slate - คือบอร์ดแสดงข้อมูลการถ่ายทำในแต่ละช็อต ซึ่งก่อนถ่ายทำจะต้องมีทีมงานนำสเลทมาโชว์ที่หน้ากล้องเพื่อบันทึกสิ่งที่กำลังจะถ่ายทำ เป็นประโยชน์ต่อการตัดต่อ
- - - - -
"เอาล่ะ อาเทารีบมานี่เลย เราจะทำการถ่ายต่อแล้ว ฉากนี้ตากล้องอย่าลืมนะว่าเราจะต้องถ่ายเป็นอายเลเวลน่ะ เพราะเป็นฉากที่ต้องดึงคนดูเข้าไปในเหตุการณ์" ผู้กำกับปาร์คที่ตอนนี้เข้าสู่โหมดจริงจังเริ่มสั่งงานรายคนก่อนจะเริ่มนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว โดยมีเด็กใหม่อย่างพยอนแบคฮยอนคอยยืนถือน้ำให้อยู่ข้างๆ
จะจดตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะถือน้ำอยู่ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะสิ่งเหล่านี้เขาก็จำได้อยู่แล้ว
'Eye Level Angel - คือมุมระดับสายตานะไม่เกี่ยวกับนางฟ้า ใช้สำหรับการให้ความรู้สึกเป็นกันเองและเรียบง่ายกับผู้ชม'
"เฮ้ฉากตรงนั้นทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ฝ่ายศิลป์ช่วยดูแลทีครับ" เมื่อเห็นว่าบริเวณฉากมีปัญหาเล็กน้อย จากที่ตอนแรกกำลังจะเริ่มสั่งแอคชั่นเป็นต้องชะงักทันทีที่ผู้กำกับปาร์คตะโกนออกมา
"เออๆ เดี๋ยวไปดูให้ สั่งจังเลยไอ้ชานยอล"
"พี่'คริส'อย่าบ่นดิ ผมเป็นผู้กำกับนะ ทุกอย่างต้องออกมาให้ดีที่สุดเว้ยครับ" อ๋อ คนชื่อคริสเป็นฝ่ายศิลป์นี่เอง.. แบคฮยอนพยักหน้าเข้าใจพร้อมทั้งจดจำตำแหน่งของคนๆนั้นไปด้วย
'Art director (Kris) ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ คอยดูแลและตกแต่งฉาก'
"ทำไมคุณถึงเอาคนๆนั้นมาอยู่ฝ่ายศิลป์ ไม่เห็นจะได้เรื่องเลย" เมื่อเห็นว่าการตกแต่งฉากของผู้กำกับฝ่ายศิลป์นั้นห่วยแตกมาแค่ไหน คนตัวเล็กก็อดที่จะถามไม่ได้
"ปากเสียอีกแล้วนะ.."
"อุบ! .. ขอโทษ" เมื่อเห็นสายตาของอีกคนที่ถูกส่งมา คนตัวเล็กก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองทันทีก่อนจะพูดขอโทษเสียงอู้อี้ออกมา
เขาไม่อยากโดนจูบต่อหน้าคนมากมายแบบนี้หรอกนะ
"พี่คริสเป็นคนมีศิลปะจะตาย ไม่งั้นคนทั่วประเทศก็คงจะไม่มาดูหนังของเราหรอก" ชานยอลหัวเราะเบาๆก่อนจะเริ่มอธิบายออกมา
"นั่นเป็นเพราะคุณเป็นคนกำกับต่างหากล่ะ"
"หืม ว่าไงนะ" คำพูดของอีกคนซึ่งออกแนวชมคนเป็นผู้กำกับอยู่กลายๆส่งผลให้ชานยอลต้องเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจทันที เพราะไม่แน่ใจว่าคำพูดเมื่อครู่ คนตัวเล็กฝ่ายพูดออกมาเองหรือเขาหูฝาดไปเองกันแน่
"ผมบอกว่าเพราะคุณเป็นผู้กำกับยังไงล่ะคนถึงได้ดูน่ะ หูหนวกหรือไง" กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่จบประโยคเชิงชมเชิงต่อว่า คนเป็นผู้กำกับก็คว้าลำคอระหงของคนตัวเล็กเข้ามาประกบจูบโดยที่คนตัวเล็กยังไม่ทันได้ตั้งตัว
ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกตกใจของบรรดาทีมงานและนักแสดง คนเป็นผู้กำกับก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจ กลับกันยิ่งลิ้มลองรสชาติหอมหวานจากอีกคนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสพติดมากเท่านั้น คนตัวสูงกดริมฝีปากลงไปให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปสำรวจโพรงปากของอีกคนอย่างช่ำชอง เวลาผ่านไปสักพักจนคนตัวเล็กเริ่มได้สติ จึงรีบผลักคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับออกไป
"ค..คุณ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง" แบคฮยอนพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเมื่อพบว่ามีสายตานับสิบคู่กำลังจ้องมองมายังพวกเขาสองคน
"ใครสนกัน นายพูดจาไม่ดี ฉันก็ต้องลงโทษเป็นธรรมดา"
"คนเจ้าเล่ห์" พูดจบคนตัวเล็กก็รีบวิ่งหนีอีกคนไปด้วยความกระดากอายทันที โดยปล่อยให้คนขี้แกล้งมองตามจนสุดสายตาก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจที่เห็นลักษณะท่าทางประหม่าของอีกคน
"ผู้กำกับจอมวายร้าย!"
"เงียบไปเลย'โอเซฮุน' *Police liasion อย่างแกอยู่เฉยๆไปเลยครับ" เมื่อได้ยินเสียงต่อว่าจากคนที่อายุน้อยกว่า ผู้กำกับปาร์คก็หันไปบ่นทันที แต่ก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก เซฮุนกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะนั่งเฉยๆตามคำสั่งของอีกคน
- - - - -
*Police liasion - ผู้ติดต่อประสานงานระหว่างกองถ่ายและบุคคลภายนอก
- - - - -
หลังจากที่ถ่ายทำฉากหวานแหววไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวต้องถ่ายฉากดราม่าที่เกาะเชจู แบคฮยอนที่ดูการแสดงถึงกับอินไปกับบทนั้นๆจนน้ำตาคลอเบ้า ส่งผลให้คนกำกับเรื่องถึงกับหลุดยิ้มออกมาให้กับความไร้เดียงสานั้นโดยไม่รู้ตัว
แต่อย่าให้พูดออกมาเชียว..
ใบหน้าหวานๆนั่นไม่เหมาะกับนิสัยการพูดเลยสักนิด
"จะเศร้าอะไรนักหนานะ" และด้วยความที่ตนเองอินกับการแสดงมากจนเกินไป ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา ชานยอลหันไปมองอีกครั้งก่อนจะจับหัวอีกคนโยกไปมาอย่างอ่อนโยน
"ไม่ดราม่า ละครมันก็ไร้สีสันน่ะสิ" หลังจากที่สั่งคัทเรียบร้อยแล้ว ผู้กำกับตัวสูงก็หันมาพูดกับคนตัวเล็กที่ยืนถือน้ำอยู่ข้างๆ
"ไม่เห็นจะดีเลย"
"ไม่ดียังไงล่ะหืม"
"เพราะละครแบบนี้ทำให้คนเสียน้ำตามานักต่อนักแล้วคุณไม่รู้หรือไง" คนตัวเล็กอธิบาย
"นั่นก็เป็นเพราะตัวแสดง แสดงได้ถึงใจผู้ชมไม่ใช่หรอ"
"มันก็จริง แต่เรื่องจริงมันจะเศร้าอะไรกันขนาดนี้ล่ะ คุณไม่คิดว่าตอนนี้มันดูโอเวอร์ไปหรอ" แบคฮยอนขมวดคิ้วมองคนเป็นผู้กำกับด้วยความสงสัย
"ละครมันก็อิงมาจากชีวิตจริงทั้งนั้นแหละน่า"
"ชีวิตจริงผมไม่เห็นมีเรื่องต้องดราม่าเลย"
"นายจะมีเรื่องโดนคนรุมกระทืบเพราะปากมากกว่าน่ะสิ" ชานยอลพูดติดตลก ส่งผลใก้คนที่โดนแซวถึงกับหันขวับทันที
"ก็ผมกำลังปรับนิสัยตัวเองอยู่นี่ไง"
"ดูพูดเข้า จะทำได้ไหมน้ออออ~" ชานยอลลากเสียงยาวเป็นการหยอกล้อคนข้างๆพร้อมทั้งยักคิ้วกวนประสาทเล็กน้อย
"นี่คุณผู้กำกับขี้เก๊ก!"
"อ๊ะ ถ้าพูดไม่ดีอีกครั้ง.." เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มจะมีน้ำโห ชานยอลก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการเตือนทันที เมื่อแบคฮยอนเห็นดังนั้นก็ยอมปิดปากเงียบ แต่ก็ไม่วายเถียงออกมาจนได้ด้วยความอัดอั้น
"ก็คุณกวนประสาทผมก่อนนี่"
"ฉันกำลังฝึกนายอยู่ต่างหากล่ะ"
"แต่ว่า.."
"นี่ถ้าเถียงอีกฉันจะนับรวมว่านายพูดจาไม่ดีนะ"
"แต่.."
"และคงรู้ใช่ไหมว่าจะต้องเจอกับอะไร" เมื่อได้ยินคำขู่ของอีกคนแบคฮยอนก็รีบปิดปากเงียบทันที เหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันยังคงเด่นชัดอยู่ในใจเขา และแบคฮยอนก็ยังจำได้ไม่ลืมว่าวิธีแก้นิสัยข้อที่หนึ่งน่ะมันมีว่าอะไร..
ข้อที่ 1. วิธีแก้นิสัยปากเสีย : โดนตบปากแรงแรงหนึ่งที (by park chanyeol)
ตบปากอะไรกัน โกหกชัดชัด..
to be continue..
author : JODAI{@ChaBa}
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น